Home ข้อคิด บริหารเงิน 5 ส่วนแบบเศรษฐีระดับโลก

บริหารเงิน 5 ส่วนแบบเศรษฐีระดับโลก

ส่วนที่ 1: ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (30%)

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีเงินเดือน 20,000 บาท ส่วนแรกจะถูกหักออกมาประมาณ 6,000 บาท

เพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตกอยู่ที่ประมาณวันละ 200 บาท โดยใช้จ่ายไปกับการกินข้าวและน้ำต่าง ๆ

ลี กาชิง บอกว่าเงินจำนวนเท่านี้ อาจจะดูไม่เยอะมาก เขาจึงแนะนำว่ามันขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของเรา

ถ้าเราใช้จ่ายในการดำรงชีพ การออกไปทานนอกบ้านบ่อย ๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่ทำได้บ่อย

เขาแนะนำว่ามื้อเช้าอาจเป็นวุ้นเส้น ไข่ และนม มื้อกลางวันเป็นอาหาร ขนม

หรือผลไม้ ส่วนมื้อเย็นทำกับข้าวทานเอง โดยขอให้แต่ละมื้อมีผัก 2 ชนิด

และนม 1 แก้ว ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ค่าอาหารของเราไม่เยอะเกินไป อยู่ที่ 5,000 – 6,000/เดือน

หากเราอายุยังน้อย การทานอาหารแบบนี้ก็จะไม่ส่งผลต่อสุขภาพของเราเท่าไหร่ เพราะเรายังแข็งแรงอยู่

ส่วนที่ 2: เงินสำหรับสร้างเพื่อนใหม่ (20%)

การสร้างเพื่อนใหม่ เลี้ยงข้าวเพื่อน จ่ายค่าโทรศัพท์เพื่อใช้คุยกับเพื่อน ตัวอย่างเช่น

ถ้าเรามีเงินเดือน 20,000 บาท ส่วนที่สองจะถูกหักออกมาประมาณ 4,000 บาท

ถ้าเราเลี้ยงข้าวเพื่อนใหม่มื้อละ 1,000 บาท เราจะได้เพื่อนใหม่ประมาณ 4 คน/เดือน อาจตกสัปดาห์ละครั้ง

สิ่งที่สำคัญกว่าการเลี้ยงเพื่อน คือเพื่อนแบบไหนที่เราควรจะเลี้ยง เพื่อน ที่เราควรเลี้ยงเพื่อหาเพื่อนใหม่

ควรเป็นคนที่มีความรู้มากกว่า รวยกว่า หรือสามารถช่วยเหลือเราได้ในอาชีพการงาน

หากเราจ่ายเงินเลี้ยงข้าวคนแบบนี้ทุก ๆ เดือน เมื่อครบ 1 ปี เราจะมีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งเป็นเพื่อนที่มีคุณค่า สามารถช่วยต่อยอดอนาคตของเราได้

รวมถึงเราอาจเป็นที่รู้จักและถูกมองว่าเป็นคนใจกว้าง นิสัยดี

ส่วนที่ 3: การเรียน การศึกษา (15%)

ด้วยตัวอย่างเดิม หากเรามีเงินเดือน 20,000 บาท เงินในส่วนที่สามจะถูกหักออกมาประมาณ 3,000 บาท

เพื่อใช้กับการเรียน การศึกษา แน่นอนว่าในยุคนี้ความรู้ต่าง ๆ เกิดขึ้นเร็วมาก ถ้าไม่ศึกษา

เพิ่มหรือมีความรู้เพิ่ม ตามไม่ทันแน่นอน ลี กาชิง อยากให้เราใช้จ่ายไปกับหนังสือใหม่ ๆ ถ้

าเรามีเงินไม่มาก เราควรเรียนให้มากขึ้นเพื่อเอาความรู้ไปต่อยอด หนังสือที่ซื้อมาแล้ว

ต้องตั้งใจอ่าน หลังจากอ่านจบแล้วให้เรียบเรียงความรู้ใหม่ในภาษาของเราเพื่อทบทวน

และดูว่าเราเข้าใจจริงไหม หลังจากนั้นเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง

นอกจากจะเป็นการทบทวนแล้ว ยังช่วยให้คนอื่นรู้สึกดีกับเรา ที่เราเป็นคนแบ่งปัน

นอกจากนี้ยังเอาไปใช้ในการลงเรียนคอร์สต่าง ๆ หากเราเรียนเรื่อย ๆ ทุกเดือน ในปีต่อ ๆ

ไปเมื่อเรามีเงินมากขึ้น เงินในส่วนนี้ก็จะมีมากขึ้น และเราจะสามารถไปเรียน ในวิชาหรือเรียนกับครู

รวมถึงพบเพื่อนที่มีความรู้มากขึ้น ยากขึ้น คนที่เราเจอก็จะเป็นคนที่ดีและเก่งขึ้น

การไปเรียนไม่ใช่แค่เสริมความรู้ แต่ยังเป็นการเพิ่มเพื่อน

และทำความรู้จักคนที่มีความสามารถมากยิ่งขึ้น

ส่วนที่ 4: การท่องเที่ยว (10%)

ส่วนที่สี่ให้ใช้ไปกับการท่องเที่ยว และต้องเป็นการเที่ยวต่างประเทศ ลี กาชิง

เชื่อว่าการท่องเที่ยวจะช่วยเปิดโลกกว้างให้กับเราได้ หากเรายังเงินเดือนน้อยอยู่

อาจจะลองไปอยู่โฮสเทล ปัจจุบันโรงแรมหรือโฮสเทลเปิดโอกาสให้เราสามารถทำงานด้วย

อยู่ด้วย (ทำงานเพื่อขอที่พักฟรี) เช่น บางคนขอไปทำงาน 3 วัน แล้วเที่ยว 4 วัน

นอกจากช่วยเปิดโลกแล้วยังเป็นการชาร์จพลัง ให้ไฟในตัวกลับมาลุกได้เหมือนเดิม

ส่วนที่ 5: การเก็บออมและลงทุน (25%)

การเก็บออมชัดเจนว่าเก็บแล้วได้ดอกเบี้ย ส่วนการลงทุนอาจเป็นการลงทุน

ในอสังหาริมทรัพย์หรือบริษัทต่าง ๆ แต่สิ่งที่ ลี กาชิง แนะนำ คือการลงทุน ในการทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง

อย่าไปกลัวว่ามันจะเจ๊ง ลองคิดว่าสมมุติเราซื้อของที่ร้านขายส่งแล้วเอามาขายต่อ

ถึงแม้ว่าโอกาสเสียอาจจะมี แต่ถ้าได้กำไรก็จะได้เงินเพิ่ม ซึ่งการได้กำไร

จะทำให้เรามีกำลังใจ มีความเชื่อมั่นกลับมา ได้ประสบการณ์และได้การเรียนรู้

รวมถึงมีเงินมากขึ้น ลงทุนต่อในระยะยาวได้ แต่ถ้าขาดทุนก็นับเป็นประสบการณ์

เพราะหากเอาไปลงทุนกับธนาคารเราอาจไม่ได้ความรู้ใด ๆ กลับมาเลย

เมื่อเราทำงานไปได้สัก 1 – 2 ปี เงินเดือนเราจะเพิ่มขึ้น คนรู้จักเพิ่มขึ้น

นั่นหมายความว่าเราต้องทำงานหนัก หารายได้เสริม หางานเพิ่ม

โดยเฉพาะถ้าได้ทำเกี่ยวกับการขายจะดีมาก เพราะการขายเป็นเรื่องท้าทาย

และเป็นทางลัดให้เราได้รู้จักศิลปะของการขายซึ่งจะเป็นทักษะที่ติดตัวไปเป็นอาชีพการงาน

ลี กาชิง มองว่าหากเราสังเกตผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ

ทุกคนล้วนแต่เป็นนักขายทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ขายโดยตร

แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีความสามารถในการขายได้คือ

การขายฝันและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลให้กับคนอื่นรอบ ๆ

ตัวของเขาได้ การขายจะทำให้เราเป็นคนมีความรู้ความสามารถ

มันจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราจะรู้ว่าอะไรที่ควรขาย และสำคัญไป กว่านั้นคืออะไรที่ไม่ควรขาย

ลี กาชิง แนะนำว่าถึงเราเก็บออม แต่สิ่งสำคัญคืออย่าเอาเงินที่ใช้ได้

ไปซื้อเสื้อผ้ารองเท้าที่ราคาแพงเกินตัว เราสามารถซื้อของพวกนั้นได้เมื่อรวยแล้ว

แต่ตอนนี้ที่เงินยังไม่เยอะ ขอให้เก็บไว้ ถ้าอยากใช้จริง ๆ ให้เก็บไว้เพื่อซื้อของขวัญเล็ก ๆ

ให้คนที่เรารัก แล้วบอกเขาถึงแผนการทางการเงินของเรา ว่าเรากำลังวางแผนอะไร

แล้วทำไมเราถึงต้องประหยัด เขาจะได้รู้ว่าฝันของเราคืออะไรและเราต้องการอะไร

ลี กาชิง บอกว่านักธุรกิจคนไหนก็ต้องการผู้ช่วยงานทั้งนั้น หากมีโอกาส

เขาอยากให้เราลองช่วยงานนักธุรกิจ เพราะการทำงานจะทำให้เราเก่งขึ้น

ลับคมตัวเอง และเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินมากขึ้น เขามองว่าในปีที่สอง

เราควรมีเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าจะได้เงินเท่าไหร่ อย่าลืมแบ่งออกเป็น 5 ส่วน

เพื่อใช้ในการสร้างเพื่อนและแวดวงคนรู้จัก เพราะเมื่อเรารู้จักคนมากขึ้น รายได้เราก็จะเพิ่มตามขึ้นไปด้วย

ถ้าทำแบบนี้ได้ เราจะมีเงินเหลือเก็บ สุขภาพดีชีวิตดี รายล้อมไปด้วยคนดี ๆ เพื่อนดี ๆ

และสามารถต่อยอดความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่าถ้าใช้สูตรนี้ ความรู้

การศึกษาก็จะมากขึ้น ตามมาด้วยงานที่ยากขึ้น และโอกาสที่ใหญ่ขึ้น

แต่เราก็จะเข้าใกล้ความฝันที่จะมีบ้านมีรถมากขึ้นอีกด้วย

เขาบอกว่าชีวิตเราสามารถออกแบบได้ รวมถึงอาชีพการงาน ความสุข

ฉะนั้นเราควรเริ่มวางแผนตั้งแต่ตอนที่ไม่มีเงิน สิ่งเหล่านี้เป็นศิลปะของการใช้ชีวิต

เมื่อเราไม่มีเงิน เราควรอยู่นอกบ้าน ใช้เงินกับคนอื่น แต่เมื่อเรารวย

เราต้องหัดให้คนอื่นทำดีกับเรา และเรียนรู้ที่จะทำดีกับตัวเองด้วย

เมื่อเราไม่มีเงินเราต้องออกไปหาข้างนอก ไปเจอผู้คน ไปทำประโยชน์ให้เรา

แต่เมื่อเรารวยแล้วเราควรอยู่นิ่ง ๆ และไม่ควรให้ใครมาหลอกใช้เรา

เพราะนี่คือวิถีชีวิตที่ควรจะเป็น และน้อยคนจะเข้าใจ

คำแนะนำต่อมาคือ พยายามอย่าซื้อเสื้อผ้าดูดีราคาแพง หรือทานข้าวนอกบ้านบ่อย

แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ทุกครั้งที่ไปทานนอกบ้านให้จดไว้ว่าใช้เงินไป

กับการทานข้าวไปเท่าไหร่ หรือหากจ่ายเงินเลี้ยงเพื่อน ต้องมั่นใจว่า

เพื่อนคนนั้นมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าและทำงานได้ดีกว่า

เมื่อเราจัดสรรเงินได้ดีจนไม่มีปัญหาการใช้ชีวิตแล้ว ส่วนที่เหลือสามารถนำไปใช้สร้างฝันตัวเอง

ลุยทำสิ่งที่อยากทำ กล้าลงมือทำ และทำให้ชีวิตสนุกอย่างที่ควรจะเป็น

มีทฤษฎีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า สิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง

คือการเลือกใช้ชีวิตในช่วง 2-4 ทุ่ม หลายคนใช้มันไปกับการดูละครหรือเกมโชว์

แต่บางคนใช้มันไปกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และถ้าเราทำได้

ความสำเร็จจะอยู่ตรงหน้าเราในเวลาไม่นาน

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ อย่าลืมแบ่งเป็น 5 ส่วนแล้วสร้างเพื่อนใหม่

หาความรู้และเรียนรู้จากเขา ยิ่งเรามีวงเนตเวิร์กมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับผลตอบแทนมากเท่านั้น

เรื่องใดที่ผ่านมาก็ปล่อยมันไป ให้อดีตเป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้ มันไม่แปลกที่เราจะทำผิดพลาด

เพราะทุกคนที่ประสบความสำเร็จก็ผิดพลาดกันทั้งนั้น หัวใจสำคัญคือเมื่อพลาดแล้ว

ไม่ควรพลาดอีก เมื่อผิดแล้วไม่ควรผิดที่เดิมอีก การประสบความสำเร็จ

ในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สำหรับว่ารวยหรือจน แต่ทุกอย่างมีบทเรียนที่ดี สำหรับทุกคนเสมอ

 

ขอบคุณ  c r e a t i v e t a l k l i v e

Load More Related Articles
Load More By admin
Load More In ข้อคิด

Check Also

7 ลักษณะคนเก่งและฉลาด ในที่ทำงาน..เก่งไม่เหมือนใคร

1.มีทัศนคติในเชิงบวก คนที่มองโลกในแง่ดี จะมองเห็นโอกาสอยู่เสมอ ทั้งยังเข้าใจผู้อื่นได้เป็น…