
1.มอบหมายงานด้วยคำพูดที่สุภาพ
การมอบหมายงาน นั้นมี 2 แบบ คือ ผ่านทางคำพูด และผ่านทางลายลักษณ์อักษร ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้
ควรทำไปด้วยกันโดยเฉพาะคำพูดที่ผู้นำต้องรู้จักมีสติในการมอบหมายงานใช้คำพูดในเชิงที่สร้างสรรค์
มีคำอธิบายที่ชัดเจนและรู้จักยิ้มแย้ม แจ่มใส ถึงแม้สิ่งที่เจอจะมีแต่ปัญหาให้ขบคิด แต่เมื่อมีสติทางสว่างย่อมรออยู่ข้างหน้าครับ
2.มีภาวะผู้นำใช้ใจก่อนอำนาจที่มี
คิดง่าย ๆ ครับ เราอยากได้สิ่งใดก็ควรให้สิ่งนั้น ก่อนผู้อื่นเสมอ คนที่เป็นผู้นำที่ดี
ต้องรู้จักใช้อำนาจในทางที่ดี มากกว่าใช้อำนาจในทางที่ไม่ได้ ทำให้คนอื่นเสียหาย เสียหน้า เสียใจ เสียความรู้สึก
จากสิ่งที่ผู้นำกระทำ ทว่า หากใช้ใจนำ เป็นกันเองต่อคนรอบข้างแต่ก็พร้อมจริงจังกับการทำงาน
เมื่อถึงเวลาทำงานใครทำดีก็ชื่นชม ใครทำผิดก็ไม่นิ่งเฉยปล่อยวาง
แต่รู้จักใช้คำพูดในเชิงบวกเปิดใจรับฟังข้อคิดเห็นของลูกน้องนั่นล่ะครับ ผู้นำที่มีภาวะผู้นำ
3.ผิดรู้จักยอมรับและขอโทษเป็น
การทำงานในแต่ละวัน ย่อมมีโอกาส ตัดสินใจผิดพลาดและหากความผิดพลาดนั้น เกิดจากผู้นำ
ควรกล้ายอมรับและขอโทษคงไม่ใช่เรื่องแปลกครับดีกว่าฝืนดันทุรัง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิด
การขอโทษเป็นสิ่งที่อย่างน้อย ทำให้ลูกน้องเห็นว่า ถึงแม้จะเป็นผู้นำก็รู้จักพูดขอโทษเป็น
และใช้บทเรียน แห่งความผิดพลาด นั้นเป็นเครื่องเตือนสติในการลงมือทำในครั้งต่อไปครับ
4.พร้อมให้เกียรติลูกน้องอยู่เสมอ
การเป็นผู้นำ ไม่จำเป็นต้องเล่น อยู่ข้างหน้า เสมอไป ทว่าควรผลักดันให้ลูกน้อง มีโอกาสเติบโต
ในการทำงานโดยผู้นำทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียง เป็นเบื้องหลังในการทำงานก็ย่อมได้ซึ่งการเป็นเบื้องหลังจะทำให้เห็นการทำงาน
ในภาพรวมมากกว่าเล่นอยู่ข้างหน้า ซึ่งหากมอบหมายให้ลูกน้อง
ได้พัฒนาการทำงานอยู่บ่อย ๆผู้นำก็จะมีขุนพลไว้คอยทำงานต่าง ๆ ได้มากขึ้นครับ
5.รู้จักสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกัน
ความสุขเกิดขึ้นได้ ถ้ามี บรรยากาศที่ดีในห้องทำงาน ซึ่งผู้นำควรหมั่นสร้างวัฒนธรรม
ในแผนกให้เกิดความปรองดอง รักใคร่กลมเกลียวไม่มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก
ในที่ทำงาน โดยผู้นำก็ต้องรู้จักสื่อส ารกับทุก ๆ คนอย่างท่าเทียง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
โดยอาจสร้างกิจกรรมภายใน เพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศให้สนุกในการทำงานปราศ จากอารมณ์เชิงลบ
ในที่ทำงาน ย่อมทำให้เกิดสุขภ าพจิตที่ดี เบิกบานอยากมาทำงานในทุก ๆ วัน
หรือหากวันไหนงานติดพันไม่เสร็จ ก็สามารถอยู่ช่วยเหลือกันได้อย่างเสร็จสมบูรณ์
6.รู้จักใช้คนให้เหมาะสมกับงานที่ทำ
การเลือกใช้ลูกน้อง ให้เหมาะ กับงานที่ทำถือว่าเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ทำให้ลูกน้อ
งมีความสุขกับงานที่ต้องทำในแต่ละวันซึ่งความสุขผมเชื่อ ว่ามีความสำคัญมาก ๆ ครับ
เพราะหากมีความสุขในสิ่งที่ทำ ผลลัพธ์ย่อมดีตามแน่นอน
ทว่าหากไร้ซึ่งความสุขผลลัพธ์ย่อมออกมาตรงกันข้ามครับ
ดังนั้น ผู้นำควรหมั่นสังเกต ซึ่งที่ลูกน้องทำและวิเคราะห์ งานให้ออก
มอบหมายงานให้ถูกคนจริตของคน โดยใช้หลักการ D I S C
ซึ่งเป็นหลักการ อ่ า น ใจคนย่อมช่วยได้แน่นอนครับ
7.รู้จัก ก ร ะ ตุ้ น สร้างแรงบันดาลใจต่อลูกน้อง
การทำงานย่อมต้อง มีการประเมิน ติดตามผลของการทำงานซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
ทว่า ผู้นำหลายๆ คน กลับไม่กล้าให้ F e e d b a c k ต่อลูกน้องเพราะกลัวลูกน้อง
จะไม่รักไม่ชอบ โดยเฉพาะหากผลงานของลูกน้องท่านนั้น
ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ผู้นำต้องเปลี่ยนความคิดก่อน โดยมองเรื่องของงาน
เป็นหลักใครทำดีชื่นชม สร้างความท้าทายในงานที่ทำ ส่วนใครทำงานผิดพลาดบ่อย ๆ
ก็ต้องเรียกมาคุยเป็นการส่วนตัวและให้คำชี้แนะ สอนงานในสิ่งที่ยังผิดพลาด
โดยมีความเชื่อว่า คนทุกคนถึงแม้จะเรียนรู้ไม่เท่ากันแต่ย่อมพัฒนาได้
ถ้าเปิดใจ ซึ่งผู้นำต้องใช้หลัก จิตวิทยา ก ร ะ ตุ้ น เน้นย้ำ สร้างแรงบันดาลใจอยู่บ่อย ๆ
ย่อมทำให้ลูกน้องที่ยังผิดพลาดรู้จักปรับเปลี่ยนตนเองจนทำให้การทำงานดีขึ้นแน่นอนครับ
8.ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย มีสัมมาคาราวะ เป็นกันเอง
การเป็นผู้นำ บางคนเป็นผู้นำ จากประสบการณ์ ที่ทำงานมานาน บางคนเป็นผู้นำเพราะมีความเก่ง
ในงานซึ่งการเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญของการเป็นผู้นำ
นั่นคือ การให้เกียรติทุกๆ คน ที่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นทีมตัวเอง และรวมถึงทีมอื่น ๆ ที่ต้องประสานงานกัน
ดังนั้น การมีสัมมาคาราวะต่อคนอื่นนับ เป็นสิ่งที่สำคัญและถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้ตามปฏิบัติตาม
โดยเฉพาะการรู้จักทักทายผู้อื่นผ่านการยกมือไหว้คนที่ อาวุโสกว่าการยิ้มแย้มแจ่มใส
ไม่บึ้งตึงต่อคนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้การประสานงานเป็นไปอย่างราบรื่นครับ
9.รู้จักให้เกียรติไปร่วมงานส่วนตัวของลูกน้องบ้าง
การเป็นผู้นำ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินในการเลี้ยงดูลูกน้อง ในแต่ละวัน แต่ก็ควรมีน้ำใจต่อลูกน้อง
หากเป็นงานส่วนตัวที่ลูกน้องเรียนเชิญให้เกียรติไปร่วมงาน เช่น การบวช งานแต่ง งาน ศ พ เป็นต้น
ซึ่งในฐานะผู้นำก็ควรให้ความสำคัญ เพื่อแสดงความมีน้ำใจต่อลูกน้อง
เพราะการให้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเมื่อให้ก่อน ย่อมมีโอกาสได้รับสิ่งดี ๆ อยู่เสมอครับ
10.พัฒนาตนเองอยู่เสมอ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
การสอนคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายครับ โดยเฉพาะ การสอนคนอื่นโดยปราศ
จากการกระทำเพื่อเป็นแบบอย่างให้ลูกน้องเห็นในทุก ๆ วัน
ซึ่งคนที่เป็นผู้นำควรใช้หลักการสื่อส า ร ที่ประกอบไปด้วย 3 ส่วนนั่นคือ
การกระทำ = 55 %
น้ำเสียง 38 %
คำพูด 7 %
ในการพัฒนาตนเอง ก่อนพัฒนาลูกน้องเพราะหากเราสนใจที่ลูกน้องก่อน
ลูกน้องย่อมขาดความเชื่อถือจากสิ่งที่เราทำ ทว่า หากเราทำให้เห็นเป็นตัวอย่างในทุก ๆ วัน
ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของลูกน้องได้อย่างง่ายดาย
เช่น หากอยากสอนให้ลูกน้องมาเช้า ตรงต่อเวลา หรือมาก่อนเวลาอย่างน้อย 30 นาที
ผู้นำก็ควรทำให้ลูกน้องเห็นจนชินตา แบบนี้การสอนย่อมเป็นเรื่องง่าย
และไม่ต้องพูดเยอะ ใช้การกระทำเป็นสื่อในการสอน แต่จะใช้การกระทำอย่างเดียวก็คงไม่ได้นะครับ
ควรต้องบอกผ่านคำพูด ด้วยน้ำเสียงที่ดี เป็นกันเองเพื่อเป็นการเน้นย้ำเตือนสติกันบ้าง
เพราะคนส่วนใหญ่ต้องมีการ ก ร ะ ตุ้ น ในช่วงแรกจนเกิดการเปลี่ยนแปลงดังนั้นหน้าที่การ ก ร ะ ตุ้ น
ก็คงไม่พ้นผู้นำ ที่ต้องแสดงให้ดูในทุก ๆ วันครับการเป็นผู้นำทีมีภาวะผู้นำ
ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปหากเราเปิดใจ ใช้ใจก่อนอำนาจรับฟังเสียงของทุก ๆ คน
และพร้อมเป็นตัวอย่างที่ดีในทุก ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
เพื่อเปลี่ยนแปลงแนวคิดให้เป็นบวกในการพัฒนาตนเองพัฒนาการทำงาน
และสร้างวิสัยทัศน์ของการเป็นผู้นำ แบบนี้ย่อมได้ใจลูกน้องให้เชื่อชอบและทำตามแน่นอนครับ
ขอบคุณ d r f i s h